อธิการบดีมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค)
สถาบันการศึกษา มีวิธีสร้างสามัญสํานึกในหน้าที่ ความรับผิดชอบต่อโลกปัจจุบัน
เกี่ยวกับปัญหาสภาวะโลกร้อนอย่างไร...
ปัจจุบันสภาวะโลกร้อนไม่ใช่ประเด็นปัญหาที่ไกลตัว แต่ถือได้ว่าเป็นวาระโลกที่ไทยเราต่างต้องตระหนักถึงปัญหานี้ให้มากยิ่งขึ้น โดยจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาวะดังกล่าว ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งหาหนทางหยุดยั้งมหันตภัยทั้งหลายทั้งปวงอันเกิดจากภาวะโลกร้อนนี้ให้ได้
ดังจะเห็นได้จาก ในวันที่ 29 มีนาคม 2551 เวลา 20.00 น. ตรงตามเวลาท้องถิ่นของแต่ละประเทศได้มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ให้เมืองใหญ่ๆทั่วโลกกว่า 20 เมืองช่วยกันปิดไฟตามสถานที่ต่างๆ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง เพื่อรณรงค์ปลูกจิตสำนึกร่วมกันแก้ไขปัญหาโลกร้อน
ปรากฏการณ์ของภาวะความเสื่อมโทรมทางธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศของโลกปัจจุบัน ก่อให้เกิดเป็นวัฏจักรที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด สภาวะโลกร้อน (Global Warming) และส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล สัญญาณเตือนภัยเหล่านี้ปรากฏเด่นชัดขึ้น บ่อยครั้งและในเวลาใกล้เคียงกัน ความแปรปรวนของภูมิอากาศ รวมถึงภัยพิบัติต่างๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้น แผ่ขยายไปทั่วภูมิภาคของโลก... ดังเช่น
การเกิดฤดูกาลที่ผิดปกติในหลายประเทศ
การเกิดหิมะตกแบบบางเบาในกรุงแบกแดด ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน การเกิดคลื่นความร้อนในทวีปยุโรป การเกิดพายุเฮอร์ริเคน แคทรินา ที่ถล่มเมืองนิวออร์ลีนของสหรัฐอเมริกาจนเสียหายอย่างมหาศาล แม้แต่ประเทศไทยเองก็เกิดผลกระทบจากวิกฤตการณ์ดังกล่าวเช่นกัน คือ ได้เกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นเผชิญกับคลื่นยักษ์ สึนามิ ซึ่งเป็นภัยพิบัติที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายๆ ปี...ที่ผ่านมา บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงภาวะโลกร้อนว่า ส่วนใหญ่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ทั้งสิ้นและโลกของเรากำลังเดินสู่กับดักของสถานการณ์ที่ล่อแหลมอย่างน่าวิตก เรา คือ ส่วนหนึ่งของมนุษย์โลกที่ต้องพึงตระหนักถึงหน้าที่สำคัญ คือ ต้องศึกษาและเข้าใจปัญหาที่เผชิญอยู่นี้ อันจะนำไปสู่แนวทางยับยั้งและการแก้ไขปัญหาที่จริงจังร่วมกัน
จากการคาดการณ์ของสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (2537) พบว่าในทุกๆ ปีระหว่างเดือนพฤศจิกายน– มกราคม ประเทศไทยจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเฉลี่ย 2.5 – 6 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอีสานจะแล้งหนัก ปัจจุบันประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศเพียงแค่ 2.6 ตัน / คน / ปี ถึงแม้จะยังไม่เกินค่ามาตรฐานที่ได้กำหนดไว้ แต่เราก็ไม่ควรเพิกเฉยต่อการปลุกจิตสำนึกให้คนไทยหันมาห่วงใย ตระหนักถึงธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น แม้จะเป็นเพียงการคาดการณ์ของสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยก็ตาม ผลของความเสียหายจะขยายไปบริเวณกว้างเพียงใด ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตลอดจนภาคธุรกิจ ต่างต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันหาแนวทาง เพื่อวางมาตรการให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าเราจะอยู่ในภูมิภาคใดของประเทศ ทุกคนต่างก็มิอาจจะหลีกหนีปัญหาจากสภาวะโลกร้อน ไปได้...สภาวะที่โลกร้อนขึ้นในช่วง 50 กว่าปีมานี้ ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน แผ่ขยายสู่ทุกภาคพื้นโลกประมาณ 1.4 - 5.8 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเกิดจากน้ำมือของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้การผลิตเพื่อการบริโภคในด้านต่างๆ ลดลง เกิดการกระทบกันเป็นลูกโซ่ อันเป็นเหตุให้ประชากรโลกอาจจะต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนเป็นจำนวนมหาศาล
สังคมไทยมีลักษณะเป็น สังคมการบริโภคเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำแหล่งป่าไม้แหล่งอาหาร แหล่งพลังงาน หรือแม้แต่สารประกอบต่างๆ ในดิน
ปัญหาเหล่านี้... แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงห่วงใย โดยทรงโปรดฯพระราชทานแนวพระราชดำริทุกขั้นตอน เพื่อจะให้สิ่งแวดล้อมกลับคืนมา... อันถือได้ว่า เป็นสิ่งที่สร้างสมดุล และเกื้อประโยชน์ ต่อการดำรงชีวิตของประชาชน หากเราต่างพร้อมใจกัน ดำเนินรอยตามแนวพระราชดำริของพระองค์ท่าน นอกจากจะเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการป้องกันปัญหาโลกร้อนที่ใกล้ตัวเรามาทุกขณะ ได้อีก
ผลจากภาวะโลกร้อน ยังทำลายระบบนิเวศน์บริเวณชายฝั่งทะเลของเราอีกด้วย เนื่องจากไทยเรามีพื้นที่ชายฝั่งทะเลยาวประมาณ 2,490 กิโลเมตร ซึ่งเป็นทั้งแหล่งทรัพยากรธรรมชาติกับแหล่งเศรษฐกิจสำคัญๆ ของ ไทยมากมาย ถ้าหากอุณหภูมิในทศวรรษหน้ายังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะมีผลกระทบกันเป็นวงจร ทั้งทางด้านธุรกิจ ด้านสังคมสิ่งแวดล้อม ด้านสุขภาพอนามัย ฯลฯ แม้แต่กรุงเทพมหานคร ก็ต้องเผชิญกับปัญหาอันสืบเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น อย่างยากจะหลีกเลี่ยง
อนาคตของโลกนี้จะเดินไปสู่จุดไหน มนุษย์ชาติจะมีวิถีชีวิตกันอย่างไร ถ้าสภาวการณ์ของสภาพดินฟ้าอากาศเลวร้ายลงไปอีก...คงไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้อย่างชัดเจน หากเพียงแต่ทุกคนต้องพยายามศึกษาและเข้าใจในประเด็นปัญหาข้อเท็จจริง อันจะนำไปสู่แนวทางแก้ไขและสร้างโอกาสให้มากที่สุด สำหรับสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติที่เหลืออยู่ให้เกิด การปกป้อง คุ้มกัน มีความปรองดองกันระหว่างเชื้อชาติ ทั้งนี้เพื่อร่วมมือกันในทุกๆ ด้าน
โลกยุคปัจจุบัน ความรอบรู้ของมนุษย์ก่อให้เกิดวิทยาการใหม่ๆ เพื่อพัฒนาด้านความเป็นอยู่ และสนองความต้องการด้านบริโภค เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ตนเอง นับตั้งแต่ตื่นนอนในตอนเช้าจวบจนเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวัน ดังเช่น เช้าอาบน้ำอุ่นด้วยเครื่องทำน้ำร้อน ทำอาหารจากเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนถนอมอาหาร ในตู้เย็น ใช้ยวดยานพาหนะส่วนตัวไปประกอบอาชีพ กลับบ้านพบสิ่งบันเทิงต่างๆ ทีวี เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ และท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นด้วยเครื่องปรับอากาศ ฯลฯ
อนึ่ง ที่กล่าวมานี้ล้วนมาจากพลังงานทั้งสิ้น ในกระบวนการผลิตที่มาจากทรัพยากรทางธรรมชาติ มนุษย์โลกไม่ได้ตระหนักถึงผลร้ายในอนาคตที่ยาวไกลว่า วิทยาการใหม่ๆ ภายใต้กรอบแห่งความคิดนั้นทำให้มนุษย์บริโภคจนเกินความจำเป็น พลังงานหากมีการใช้ย่อมสูญสลายกลายเป็นขยะและมลภาวะตามมาไม่มีวันจบสิ้น เมื่อต้นทุนทางธรรมชาติที่สะสมมาช้านานค่อยๆ หมดไป โลกจึงจำเป็นต้องส่งสัญญาณเตือนภัยมาสู่โลกเช่นกัน
แม้ว่า สภาวะโลกร้อน (Global Warming) จะไม่ใช่ปัญหาของประเทศไทยเท่านั้น หากแต่เป็นความหวาดวิตกของมนุษยชาติที่ถูกจับตามอง คำถามก็คือ มนุษย์ในฐานะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งบนโลกใบนี้เป็นหน่วยหนึ่งของสังคมจะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไรบ้าง...คงได้รับคำตอบในทิศทางเดียวกัน คือ ต้องเริ่มที่ตนเองก่อน อาจต้องพึ่งพาพลังงานมนุษย์ และใช้สติสัมปชัญญะด้วยการสร้างกฎระเบียบในการดำเนินชีวิตประจำวันของแต่ละคน ภายใต้ข้อปฏิบัติ เช่น : -
-
ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกครั้ง เมื่อเสร็จสิ้นการใช้งาน เช่น คอมพิวเตอร์ วิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ
-
ปรับและติดตั้งตัววัดอุณหภูมิในเครื่องปรับอากาศ ให้เหมาะสม กับอุณหภูมิขณะนั้น
-
เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟแบบประหยัดแทนหลอดไฟอื่นๆ เพื่อช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์
-
ปลุกจิตสำนึกของสมาชิกในองค์กร ขยายสู่ชุมชน สังคม เมือง และประเทศ
-
ปลูกต้นไม้ เพื่อช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดี
-
ร่วมรณรงค์ ให้พยายามใช้พลังงานมนุษย์แทนพลังงานอื่นๆ บ้างตามความจำเป็น
แม้ในวันนี้ จะมีผู้แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันมากมาย ถึงมูลเหตุที่มาของปัญหาสภาวะโลกร้อน แต่หากทุกคนตระหนักถึงภาระและความรับผิดชอบร่วมกันปกป้อง คุ้มกัน เพื่อให้โลกนี้ได้พลิกฟื้นคืนสู่ความสมดุลตามธรรมชาติกลับมาได้อีกครั้ง โลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ย่อมมีความหวัง
สำหรับสถาบันการศึกษา ซึ่งถือเป็นองค์กรสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ ให้แก่สังคม ประเทศชาติควรแสดงเจตนารมณ์ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมแก้ไขปัญหา สภาวะโลกร้อน โดยแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการทำภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วง จึงควรให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในอันดับต้นๆ โดยอาศัยบทบาทและวิสัยทัศน์ของการเป็นผู้นำ ที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อ สภาวะโลกร้อน ที่จะเกิดผลร้ายแรงในอนาคต เพื่อให้ประชาคมร่วมรับรู้ เช่น
-
จัดให้มีการสัมมนาในกลุ่มผู้บริหารสถาบันการศึกษาทุกระดับ ให้ร่วมกันจัดทำโครงการรณรงค์คืนสภาพแวดล้อมที่ดี เพื่อจะทำให้โลกพลิกฟื้นสู่สมดุลทางธรรมชาติ
-
ส่งเสริมการบูรณาการศาสตร์ในสาขาวิชาต่างๆ สู่การแก้ปัญหาแบบยั่งยืน นำความรู้จากการค้นคว้าวิจัยทุกสาขา มาร่วมกันหาทางออกที่เป็นรูปธรรม นำขยายสู่สังคมโดยรวม
-
จุดประกายให้แก่ประชาคมในสถาบันร่วมรณรงค์ สร้างสรรค์กิจกรรมและให้มีการสานต่ออย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นความสำคัญของธรรมชาติที่มีต่อสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ เรียนรู้ความเป็นไปของโลก และร่วมสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต
-
ให้มีการบรรจุหลักสูตรที่เกี่ยวกับนิเวศวิทยาทางธรรมชาติ โดยส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น เกิดการเรียนรู้และสร้างวิสัยทัศน์มองการณ์ไกลไปสู่อนาคต ให้เป็นผู้พิทักษ์มิใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อสิ่งที่มีชีวิตทุกๆ ชีวิตบนโลกใบนี้
- หัวใจสำคัญก็คือการสร้างสามัญสำนึก เพื่อเหตุเดียวกัน (Common Sense for Common Cause) ในที่นี้ คือ ความเชื่อมั่นในแนวทางที่จะร่วมมือกันรับผิดชอบรักษาดูแลโลก เพราะเรา คือ ผู้ที่พึ่งพา
อาศัยโลก เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมชนิดอื่นๆ ซึ่งเกี่ยวข้องพึ่งพาซึ่งกันและกันสถาบันการศึกษา คือ สถาบันที่ให้บริการสังคม ในด้านการศึกษา ย่อมมีเป้าหมายที่จะเพิ่มพูนความรู้ให้แก่บรรดานักศึกษา นักวิจัย คณาจารย์ของทุกภาควิชาตลอดจนคณะผู้บริหาร ฯลฯ ต่างมีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะรับรู้ เพื่อมีส่วนร่วมค้นหาหนทางสู่การแก้ปัญหา สภาวะโลกร้อนแสดงวิสัยทัศน์ผู้นำเป็นแบบอย่างของการวางรากฐานสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีได้ในอนาคตในสภาวการณ์เช่นนี้ ถ้าทุกๆ คน พร้อมที่จะผลักดันให้เกิดการปฏิบัติการในด้านต่างๆ จนเกิดเป็นรูปธรรมย่อมสามารถลดกระแสแห่งความวิตกกังวลและภาวะวิกฤตไม่ให้รุนแรงไปมากกว่านี้
แหล่งที่มา
Dicaprio, L., Petersen, L. C., Castleberg, C. & Gerber, B. (Producer). (2008). The 11th hour: Turn mankind’s darkest hour into its finest
[Motion Picture]. Burbank, CA: Warner Independent Pictures.
ขวัญชัย กุลสันติธำรงค์. (2549, พฤศจิกายน). สภาวะโลกร้อน : สัญญาณเตือนภัยจากธรรมชาติก่อนที่โลกจะถึงกาลอวสาน. Update, (230), 37-43.
ดาณุภา ไชยพรธรรม. (2550). โลกร้อน สัญญาณแห่งหายนะ. กรุงเทพฯ : เคล็ดไทย.
ไทยระอุ “โลกร้อน” วิกฤตแล้งถล่มอีสาน 22 ล.ไร่. (2550, เมษายน 16-18). ประชาชาติธุรกิจ, หน้า 1, 17.
ประชุมภาวะโลกร้อนที่บาหลี “ไปไม่ถึงดวงดาว” อีกตามเคย. (2550, ธันวาคม 14-20). สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์, 55(12), 27.
สุวัฒน์ เทพอารักษ์. (2550, พฤศจิกายน 30-ธันวาคม 6). การแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามแนวพระราชดำริ. สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์, 55(10), 12-13.
อภิชา สืบสามัคคี. (2551). โลกร้อน : ปรากฏการณ์ธรรมชาติเข้าขั้นวิกฤติ? กรุงเทพฯ : มายิก.